วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
[My Vacation in Korea] - #DAY1
สวัสดีชีวิตช่วงเบรคพักยาว ... หลังจากไม่ได้มาเกาหลีเกือบสองปี
เบรคยาวของชีวิตช่วงนี้เลยตัดสินใจแบกกระเป๋า(น้ำหนัก 19 กิโลกรัม) มาเปลี่ยนบรรยากาศที่นี่
หลังจากนั้นเลยตัดสินใจ challenge ตัวเองด้วยการเขียนไดอารี่ บันทึกชีวิตรายวันที่นี่
และหวังว่าจะทำได้ครบทุกวัน (5555555)
ตั้งใจจะเขียนเล่าว่าชีวิตวันนึงทำอะไรที่นี่บ้าง ... ใช้เงินไปเท่าไหร่บ้าง ... บลาๆ
บอกไว้ก่อนว่า ไม่ได้ปแพลนหรือวางแผนมาเที่ยวที่ไหนอะไรเป็นพิเศษทั้งนั้น
Unplanned Trip ของจริง
ขอยังไม่บอกว่าจะอยู่กี่วัน ค่อยๆ ตามกันไปดูนะคะ :)
DAY1 : Start !!
19.05.2017
วันแรกเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืน คือการมารอเข้าแถวเช็คอินเพื่อบินมายังเกาหลีใต้
แค่วันแรกก็สนุกแล้ว เพราะเจอไฟล์ทดีเลย์ไป 3 ชั่วโมง ... จากเที่ยวบิน ตี3 กลายเป็นเที่ยวบิน (เกือบ) 6 โมงเช้า
สรุปคือ ร่างกายขาดน้ำ ขาดอาหารไปราวๆ 12 ชั่วโมง และแทบไม่ได้นอน พอนอนไปสักพักมาเรียกให้เปลี่ยนเครื่อง พอจะนอนอีกทีเรียกให้ขึ้นเครื่อง พออยู่บนเครื่องก็หลับๆ ตื่นๆ กว่าจะถึงก็ปากแห้ง ไส้กิ่วหมดเรียวแรงจนตอนนั่งอยู่บนเครื่องวางแผนไว้กะหลุดพ้นจาก ตม.(จุดสำคัญ) ออกมาได้จะวิ่งไปมินิมาร์ทที่ใกล้ที่สุดเพื่อหาอะไรกิน แต่...
กลับมาที่ด่านตม. อันเลื่องชื่อ
ก่อนหน้าที่เราจะมามันมีประเด็นใหญ่ที่ไทยอ่ะเนาะ มันก็ทำให้คนที่ไม่เคยกลัว ตม. เกาหลีแบบเรา เกิดอาการกังวลขึ้นมาเฉย ไม่กังวลหน่อยด้วย กังวลมาก ... ตม. มองหน้าหนูแล้วจะรู้ไหมคะ ว่าหนูไม่ได้มาขายนะคะ หนูมาซื้อกิน เมนูในใจที่อยากแดรกของหนูเยอะมากค่ะ ได้โปรดอย่าจับผิดหนูเลย
แม้ว่าจะบริสุทธิ์ใจแต่พอเอาเข้าจริงก็แอบตื่นเต้นและตื่นกลัว พอก้าวที่เดินเข้าไปหา ตม. และยื่นพาสปอร์ตนั้น หัวใจมันเต้นแรงขึ้นมาเฉย แบบรัวเร็วมากจนตัวเองยังตกใจ ตอนแรก ตม. ไม่ได้ถามอะไรเลย มีแค่ยื่นพาสปอร์ตมาเทียบกับหน้าเรา (เอิ่มมม.. นั่นหนูจริงๆค่ะพี่ตม.) แล้วก็เปิดให้เราแสกนนิ้ว แต่พอแสกนนิ้วเสร็จก็ใช่ว่าเราจะปลอดภัย ขั้นรอดชีวิตมันอยู่ที่การได้ยินเสียงและเห็นภาพ ตราปั๋มในมือถือของพี่เขา ประทับตราลงไปให้เราค่ะ ... เหมือนจะเรียบร้อยแล้วใช่ไหม แต่เรายังไม่ได้ยินเสียงนั้น จนกระทั่ง ตม. ถามเราเป็นภาษาเกาหลีว่าพูดเกาหลีได้เหรอ ? (เคยได้ยินมาว่าถ้าโชว์เกาหลี ตม.ก็จะสงสัยว่ามาทำงาน) ณ จุดนี้แบบใจที่โล่งไปนิดนึงมันเลยกลับมาแน่นอีกครั้ง แล้วคือยังไงต้องตอบเป็นเกาหลีไหม เราก็เลยตอบเขาไปเป็นภาษาเกาหลีว่าเคยเป็นนักเรียนที่นี่ เขาก็รัวมาหลังจากนั้นแย๊บๆ เลยว่า มาทำอะไร มากี่วัน ... โอ้โหวเอาเข้าจริง ตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะตลอดการเข้า ออกประเทศนี้ไม่เคยโดน ตม. ถามอะไรเลย และสุดท้ายเสียงและภาพที่เรารอคอยก็มาถึง ...มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จิขาดใจ...และทันใดนั้นเสียง "ปั๊ก" ที่รอคอยก็ดังขึ้น และเราก็รอดปลอดภัย ออกจาก ตม. มาอันนยองเกาหลีอีกครั้งได้ ฮืออออออ ....
ทำไมจู่ๆ ตม. ถามเราเป็นภาษาเกาหลีนะหรือ ... น่าจะเป็นเพราะช่องที่อยู่ใบขาเข้าประเทศ เราเขียนเป็นภาษาเกาหลี ㅠ ㅠ ต่อไปเราจะไม่เขียนเป็นเกาแล้วจ้า สาบาน เพราะจุดนั้นมันโคตรของโคตรตื่นเต้น
หลังจากออกจากทุกด่านมาแล้ว ถึงเวลาไปที่พัก ก่อนไปก็ต้องไปหาซื้อบัตร T-Money แผนที่วางไว้บนเครื่องคือ จะไปมินิมาร์ทที่ใกล้ที่สุดเพื่อซื้อ T-Money และจะหาของกิน แต่ ณ จุดที่ได้ทีมันนี่มาอยู่ในมือปุ๋บ ...อินี่ลืมความหิวกระหายอดอยากที่ทนแบกมาตลอด 12 ชั่วโมงไปหมดเลย รู้สึกตัวอีกทีว่าหิวก็ตอนขึ้นไปนั่งในรถไฟแล้วเห็นครอบครัวข้างๆ เขากินนมกับคิมบับกันนั่นแหละ เป็นอันว่าต้องอดทนแบกรับความหิวนี่ไปอีกชั่วโมงกว่า จนมาถึงที่พักแถวสถานีซอกัง พอมาถึงที่พัก อาจุมม่าดูแลหอไม่อยู่อีก เพราะนัดกับคุณป้าไว้ตอนเช้า แต่เครื่องดีเลย์จนมาถึงบ่ายแก่ สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่ทิ้งกระเป๋าไว้ที่ห้องพัก (โชคดีที่ป้าเปิดห้องไว้ให้) และหอบชีวิตกะพลังงานที่โคตรจะติดลบออกมาหาอะไรกิน
และมื้อแรกของการมาเกาหลีครั้งนี้คือ ...แต๊น แต่น แต๊นน... ซุนแดกุก (순대국) เป็นร้านซุนแดที่รักมากและฝากชีวิตไว้ตอนมาเรียนเมื่อสองปีก่อน มันคือเดอะเบสท์ซุนแดกุกอินมายไลฟ์ ตอนได้ตักเข้าปากคำแรกเหมือนน้ำตาจะไหล ทั้งหิว ทั้งอร่อย ทั้งคิดถึง มาหมดฟีลลิ่งในยามหิวโหย และมันก็อร่อยจนเรากินเกลี้ยงไม่เหลือจริงๆนะ อิ่มแบบแน่นพุง เดินอืดออกมาเลย
หลังจากกินซุนแดเสร็จก็ตั้งใจจะไปทำซิม ตอนแรกไปที่สาขาแถวชินชนแต่เขาไม่ทำให้ ถ้าไม่อยู่ระยะยาวววว เลยต้องไปสาขาแถว ม.ซอกังแทน แต่นี่ก็ไม่รีบเดินเอื่อยๆ ดูโน่นนี่นั่นไป จนกระทั่งไปถึง Olleh สาขาแถวซอกัง เขาก็บอกว่าทำให้ไม่ทันแล้ว เพราะกำลังจะปิดระบบ ต้องไปทำที่ฮงแด เพราะที่นั่นเปิดถึงดึก แต่ก็ต้องไปให้ทันภายใน 30 นาที แล้วด้วยความขี้เกียจไม่อยากไปไหนแล้ว รู้สึกเหนื่อยล้าร่างกายจึงไม่ไปแม่งแล้ว ไม่ใช้ก็ได้ ไว้มาวันหลัง แม้พนักงานจะบอกว่า เสาร์ อาทิตย์ ไม่ทำการ... แต่เราก็ไม่แคร์ เพราะเราเป็นคนขี้เกียจและง่วง พอเรานกจากการทำซิมการ์ด เราก็เลยไปหาอะไรกิน (อ้าวไหนว่าง่วง ไหนว่าเหนื่อย) ก็เพราะกินคาวไม่กินหวานมันสันดานไพร่ เราก็เลยต้องจัด เลยไปจบที่ไอติมของ Baskin Robbin ตอนสั่งไม่คิดว่ามันใหญ่ พอมันออกมาโคตรจะใหญ่ก็ตกใจมาก แล้วยังไง ใหญ่แล้วยังไง ใหญ่แล้วก็กินหมด (วิถีหมู)
หลังจากนั้นก็หาเรื่องเดินย่อย สำรวจบรรยากาศชินชนที่แสนคิดถึง (ความจริงคือสำรวจร้านอาหาร) ...มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป ร้านที่เคยกินบางร้านหายไป ร้านใหม่โผล่มาแทน บางร้านรักมาก ฮื่อๆ ก็จิ้มๆ จำๆ ไว้หลายร้าน ขอพี่ไปนอนก่อนแล้วเดี๋ยวพี่ออกมากินนะ วันไหนสักวัน
มาๆ มาหอได้แล้ว คุณป้ารอแล้วจ้า ... ก่อนจะเข้าห้องไปอีกรอบ จ่ายเงินเคลียร์กับป้าก่อนเลยจ้า
ค่าห้องไป ค่ามัดจำไป ค่าผ้าห่มป้าก็ขอ ... ตอนแรกคิดว่ามีเงิน พอจ่ายก็รู้เลยว่าจนมาก ฮื่อฮือ
และห้องที่เราจะหลับนอนอืด พักพุงก็เป็นเช่นนี้ ...
มันอาจจะใหญ่ๆ หน่อย เพราะเป็นห้องสำหรับ 2 คน ที่ก็นอนคนเดียว ... ชอบห้องมาก รู้สึกแบบโอ้วยิ่งใหญ่ต่างจากที่เคยอยู่สมัยก่อนๆ
พอจัดของเสร็จนิดหน่อย ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันให้สบายกายใจ ก็ออกมาซื้อของเล็กน้อย ณ จุดนั้นแบตเตอรี่ชีวิตต่ำมาก ต้องการนอน แต่ก็ต้องออกไปซื้อของใช้ ของกิน พอได้กลับมาถึงห้อง หัวก็ถึงหมอน หลับตายไปเลยชีวิต
และ #DAY1 ก็จบแบบนี้แล ...
ตอนแรกก็ยาวแล้วอ่ะ เพราะอะไร เพราะยังไม่ขึ้เกียจไง แต่ตอนต่อไปนั้น ... ไม่รู้จะเป็นเยี่ยงไร
ฝากติดตามด้วยแล้วกันนะคะ <3
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
สอบถามค่า ที่พักชื่ออะไรหรอคะ ถ้าเดินจากที่พักไปมอซอกังใช้เวลาประมาณกี่นาทีคะ
ตอบลบไม่น่าจะถึง ห้านาทีนะคะ
ลบ