วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Review] - ปี ค.ศ. 2014 / พ.ศ.๒๕๕๗



สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘
ตอนแรกก็ว่าจะไม่แต่สุดท้ายก็เอาสักหน่อย 

สารภาพว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ ซึ่งบ่งบอกถึงความสะเพร่าของการใช้ชีวิตหน่อยๆ ที่ไม่รู้จักวางแผนและจำประสบการณ์อะไรมากเท่าไหร่นัก ดูเรื่อยเปื่อย ไม่ทุกข์ร้อนกับความเศร้าและไม่สนุกลืมกับความสุข มันดูเรื่อยเปื่อยเกินไปนะว่าไหม?


ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเป็นเดือนๆ แต่ท้ายที่สุดมันคิดไม่ออกจริงๆ เลยไล่เป็นข้อๆ แล้วกัน



What I've done
ปีนี้เป็นปีที่ได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ หลายอย่างมาก คิดว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันก็เช่นกัน
- จบปริญญาตรี
เรียนจบปริญญาตรีอย่างเป็นทางการ ศิลปศาสตร์ ภาษาศาสตร์ แอบได้เกียรตินิยมมาล่อเงินจากแม่ ไม่ได้ดีใจมากมายที่เรียนจบ ไม่ได้ดีใจอะไรที่ได้เกียรตินิยม แต่มาดีใจตอนที่เห็นแม่ดีใจกับรูปรับปริญญาและปริญญาบัตรของเรา
- รับปริญญา
ไม่ได้สนใจอะไรกับการรับปริญญาจนพ่อแม่ต้องกระตุ้น สุดท้ายตัดสินใจรับ เพราะเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้ (คิดแบบนั้นจริงๆ) หลังจากนี้เหมือนอะไรจะยากขึ้นในการทำให้เขาได้ภูมิใจ :( รับเสร็จไม่ได้รู้สึกพองฟูอะไรมากมาย ชอบตรงที่ได้เจอคนที่ไม่เคยเจอ ได้เจอคนที่ไม่ได้เจอมานาน เหมือนงานรับปริญญาเราเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ใครหลายคนกลับมาเจอกัน ... นี่สินะคือความหมายของวันพิเศษและวันสำคัญ
- ชีวิตการทำงาน
ทุกวันนี้ยังคงคิดว่า 4 เดือนในการทำงานให้กับเวบไซต์รีวิวอาหารแห่งหนึ่งไม่ใช่การทำงาน แต่เป็นการ 'เรียนรู้' มากกว่า ไม่ได้คิดว่าตัวเองโตขึ้นมากจากงานนี้ แต่ได้เรียนรู้ในโลกของความจริงมากขึ้น ได้ข้อคิดอะไรดีๆ จากประสบการณ์ของพี่ๆ ในที่ทำงาน ได้คำแนะนำและมิตรภาพที่อบอุ่นจากพี่ๆ ในที่ทำงาน ได้ลองทำในสิ่งที่คิดว่าชอบและพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วเราชอบจริงไหม ... ขอบคุณที่ให้โอกาสทำพลาดและพร้อมให้คำแนะนำ นี่เป็นหนึ่งสิ่งที่อยากขอบคุณที่แห่งนี้เสมอ
- เขียนฟิค
ได้เขียนฟิคที่คิดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลย เป็นฟิคสั้นในโปรเจคท์หนึ่ง ได้เห็นความพยายามของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ทำเพื่อคนสองคน ดีใจที่โลกมีอะไรแบบนี้ให้ยิ้มได้กับความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทนแบบนี้
- รวมเล่มฟิค
เป็นอีกหนึ่งสิ่งใหม่ที่ได้ลองทำ สนุกดี ทำเองทุกขั้นตอนเลย มั่วเองอีกแล้ว ดีใจที่ได้ทำและได้รับการตอบรับ ตอนแรกคิดว่ามีคนอยากได้เล่มเดียวเราก็จะทำ เพราะเราอยากลอง ขาดทุนไม่เป็นไร แต่สุดท้ายได้รับผลตอบรับเกินคาดมาก และทุกวันนี้ก็ยังเสียใจนิดๆ ที่มีคนมาถามซื้อฟิคแต่ไม่มีให้แล้ว ._.
- เรียนภาษาที่เกาหลี
ทำเรื่องมาเรียนภาษาด้วยตัวเอง ตอนแรกที่เหมือนว่าจะต้องเสียเงิน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจทำเองและรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันต้องคุ้มค่าที่ได้ทำเอง ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง งงๆ เบลอๆ ทำมั่วตามสไตล์บ้าง สุดท้ายก็รอดจนได้มานั่งเรียนและนั่งเขียนบล็อกนี้ในประเทศเกาหลีใต้



Who I met 
-  Girls' Generation
ต้นปีไปดูคอนเสิร์ตเกิร์ลเจน เป็นหนึ่งโมเม้นท์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน ร้องไห้ท่วมท้นแต่ไม่เท่าครั้งแรก โหวงๆ ไม่น้อยทุกครั้งที่คิดว่าตอนนี้ไม่ได้มีกัน 9 คน แล้ว
- ชัชชาติ สุทธิพันธ์
- ชูบัม
มิตรสหายชาวอินเดียท่านหนึ่ง ที่เข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ได้ลองงานแปลที่ได้รายได้จากการช่วยงานทำวิจัยปริญญาเอกจากคนนี้ แถมยังได้เพื่อนใหม่อีกด้วย


Where I go 
เป็นอีก 1 ปี ที่ได้ออกเดินทาง ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ตามระยะทาง
-  จ.ตาก
ไปค่ายที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ตาก เป็นค่ายที่รอมานานมาก อยากไปตั้งแต่ครั้งแรกแต่ตอนนั้นพลาด สนุกกับการเอาตัวเองไปอยู่ในที่ใหม่ๆ เพื่อเรียนรู้ตัวเองในที่ใหม่ๆ ได้ใช้เวลากับเพื่อน รุ่นน้อง อาจารย์ เปิดใจคุยกันในหลายเรื่อง แลกเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง เหมือนจะเป็นผู้ให้แต่กลายเป็นว่าค่ายนี้เรากลายเป็นผู้รับ ยังคิดถึงน้องๆ และบรรยากาศที่นู้นอยู่เลย
- จ.สระบุรี
ไปเที่ยวกับรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี เป็นทริปสั้นๆ ที่มีความสุขมาก อิ่มหัวใจ อุ่นหัวใจ เป็นทริปที่ได้มาเพราะการตอบคำถามที่ยากมาก! จนคิดแล้วว่าไม่ได้แหงๆ แต่พอได้รับโทรศัพท์นี่ตัวสั่นกรี๊ดเหมือนน้ำตาจะไหล แต่ก็เกือบพลาดที่ตื่นสาย ตอนแรกนึกว่าจะอดไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ทันจนได้ ทริปนี้เที่ยวสนุก ได้คุยกับชัชชาติอปป้าเหมือนคนรู้จัก แต่พีคสุดตรงที่ได้เจอคนที่แอบชอบในทริปนี้ จนแอบหน่วงๆ ในวินาทีสุดท้ายที่ต้องลงจากรถไฟ ...และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เจอเขาคนนั้นอีกเลย
- เพชรบุรี
ทะเลและค่าย IYF ค่ายเวิลด์แคมป์ ไมไ่ด้สนุกเท่าที่คิด แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไรมาก ได้เพื่อนอินเดียมาหนึ่งคน ภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้อะไรมากมาย แต่เข้าถึงตัวบทของคัมภีร์ศาสนาคริสต์มากขึ้น รู้สึกอินเพราะคำสอนค่อนข้างเรียลและปรับใช้ในชีวิตได้ แต่พอเข้าเรื่องที่มันเหนือธรรมชาติ ความคิดก็เปลี่ยนเลย ไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้ คิดว่าทุกศาสนามีข้อคิดดีๆ ต่างกัน พยายามเอาของแต่ละอย่างมาปรับกับตัวเรามากกว่า จบค่ายนี้กลายเป็นคนไม่มีศาสนาไปเลย ไม่เข้าวัด ไม่เลื่อมใส ศรัทธาอะไร ตอนนี้ยังไม่รู้สึกโหวงเหวงอะไร แต่ในอนาคตคิดว่ายังไงคนเรามันก็ต้องการที่พึ่งทางใจ
- จันทบุรี
ทริปสั้นๆ หลังงานรับปริญญากับครอบครัว ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าตื่นเต้น แต่ดีใจที่ได้มาเที่ยวกับแม่ ดีใจมากๆ
- ฉะเชิงเทรา
เป็นการเดินทางออกทำงานต่างจังหวัดครั้งแรก ชอบ ตื่นเต้นกับการได้ออกนอกสถานที่เสมอ เจอลูกค้าน่ารักที่พาเดินเที่ยว ได้ทานอาหารอร่อย และได้รู้ว่าจังหวัดนี้น่ากลับมาอีกครั้ง
- เชียงใหม่
จังหวัดที่อยากไปมาก สุดท้ายก็ได้ไปและไปกับแม่ สนุกในแบบที่ได้ไปกับแม่ ตั้งใจจะออกเงินเองแต่สุดท้ายก็ค่อนไปทางแม่มากกว่า ชอบนะ อยากไปเชียงใหม่อีก
- เกาหลีใต้
ตอนนี้ต้องมีชีวิตที่นี่ไปอีก 6 เดือน ... ตอนนี้รู้แค่นั้น



What I Bought 
เรื่องเงินๆ ทองๆ ปีที่แล้วสูญเสียทรัพย์สินให้กับสินค้าชิ้นใดไปบ้าง
- Samsung S4
ได้ฤกษ์ถอยโทรศัพท์เครื่องใหม่ ตัดสินใจซื้อหลังจากทำงานได้ไม่กี่วัน เพราะเครื่องเก่าต้องเปลี่ยนแบตและเครื่องรวน สุดท้ายตัดสินใจซื้อใหม่และหวังว่าจะได้ใช้ไปอีก 2 ปี  (10 เดือน 0 % อีกครั้ง) ... เข้าเรื่องโทรศัพท์จึงทำให้ตระหนักได้ว่า 2 ปี ที่ผ่านมาสูญเงินให้สิ่งที่เรียกว่ามือถือไปแล้วเกือบ 4 หมื่น ได้ เอาเข้าจริงเป็นจำนวนเงินที่เยอะพอสมควร
- Fuji X - A1
ตัดสินใจซื้อกล้องตัวเล็กหลังจากอยากได้มานานมาก และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ รักน้องฟูจิมาก ลืมกล้องใหญ่ไปแล้ว สิ่งนี้ก็ 0 % 10 เดือนอีกครั้ง #สบายใจเงินผ่อนสไตล์
- ตุ๊กตาอัลปาก้า
เป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ได้เมื่อปีที่ผ่านมา เทใจให้ความมุ้งมิ้งของตุ๊กตาอัลปาก้ามาก ตอนนี้มีสมาชิก 4 ตัวแล้ว ยังมีตัวเล็กตัวน้อยอีก ซึ่งคิดว่าต่อไปคงลุยซื้อตัวโตๆ อย่างเดียว แต่พอคิดอีกที แค่นี้บนเตียงก็ไม่มีที่นอนแล้วนะ  อย่างไรก็ตามรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ใครเห็นอัลปาก้าแล้วคิดถึงเรา :)

What I realized
เป็นหัวข้อที่ไม่รู้จะจับใส่อะไรดี จึงมาเป็นสิ่งนี้
- เป็นหนึ่งปีที่ค้นพบความเป็น introvert ของตัวเอง ที่ผ่านมาคิดว่าตัวเอง extrovert มาตลอด จนกระทั่งมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และได้ข้อสรุปว่ามันเริ่มไต่ระดับขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวมาตลอด
- เป็นปีที่อ่านหนังสือน้อยลงมาก ทำให้งานเขียนกร่อยลงด้วย
- เป็นปีที่ให้เวลากับการสร้างภาพไปเยอะมาก
- เป็นปีที่คิดถึง 'คนอื่น' มากกว่า 'คนของเรา' เยอะมาก
- เป็นปีที่มีปัญหากับความสัมพันธ์มากเท่าที่เคยมี มันค่อนข้างซับซ้อนและแอบเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย แต่ค่อนข้างได้อะไรเยอะมากจากการล้มเหลวในความสัมพันธ์ครั้งนี้ เหมือนตัดใจกับอะไรๆ ง่ายขึ้น มองเห็นทุกความสัมพันธ์ว่าไม่ถาวร ถ้าเจออีกครั้งคงแข็งแกร่งขึ้น ครั้งนี้มันครั้งแรก หน่วงนานหน่อย คงเพราะแต่ก่อนมันดีมากเกินไป ตอนไม่เหลืออะไรเลยทำใจไม่ค่อยได้... และทุกวันนี้มันก็ยังคงคลุมเครือ และที่ยังคลุมเครือคงเป็นความผิดเราที่ไม่ชัดเจนและไม่กล้า
- เป็นปีที่ได้ค้นพบว่าตัวเองกลีวที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง อาจจะเพราะช่วยเหลือตัวเองมาตลอด พอมีเรื่องที่คิดว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ น่าจะขอความช่วยเหลือใครสักคนแต่สุดท้ายก็งมเองตลอด หลายคนที่อยากเข้าหาแต่สุดท้ายเราก็ไม่กล้าเพราะกลัวเขารำคาญ กลัวเป็นภาระ พอมารู้ทีหลังว่าเขาเต็มใจจะช่วยก็แอบเสียดาย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเขาเต็มใจจะช่วยเรา แค่นี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว
- เป็นปีที่ 'คิดมาก'



ยังคงพอใจกับการได้ทำอะไรให้คนรอบข้างและคนอื่นๆ ยิ้ม และดีใจมากๆ เมื่อได้รับคำขอบคุณว่า "ขอบคุณ" ที่เราทำสิ่งนั้นให้


น่าจะขาด หายไปหลายสิ่งเหมือนกัน ไว้ปีนี้จะพยายามเขียนบันทึกให้มากขึ้นแล้วกัน
แต่ปีหน้ายังไม่มีแพลนอะไรทั้งนั้น ไม่มี resolution อะไรด้วย เป็นการใช้ชีวิตที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง




P.S. ทิ้งท้ายสิ้นปีด้วยการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เป็นสิ่งดีๆ ทิ้งท้ายปีที่เหมือนจะเป็นความหวังให้ตัวเองเลยล่ะ :)

สุดท้ายจริงๆ ... สวัสดีปีใหม่ :)








วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Study in Sogang] - One Way Ticket เกาหลีตั๋วเที่ยวเดียว



ถึงวันเดินทางแล้ว...
บิน 8 โมงเช้า ณ สนามบินดอนเมือง  รีบมาเช็คอินเพราะคนเยอะทุกช่อง สำหรับ AirAsia-X ไปเกาหลี คนจะไม่เยอะเท่าฝั่งมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน จุดนั้นคนจะเยอะวุ่นวายกันมากๆ  น้ำหนักกระเป๋าที่โหลดมา 30 กิโล ลุ้นแล้วลุ้นอีก พอชั่งได้ 26 กิโลกรัม โล่งอกโล่งใจราวกับสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง (ฮ่าๆ)



จุดเช็คอินของ Air Asia-X คนน้อยกว่าฝั่งนู้นเยอะ...


One Way Ticket ตั๋วเที่ยวเดียว ไม่มีเที่ยวกลับ 
ราคา 7,xxx บาท รวมน้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัม และอาหารบนเครื่อง
แต่ตอนจะกลับขอลดแบบตั๋ว 0 บาท เลยนะ  :D 





จุดรอขึ้นเครื่อง ส่วนใหญ่คนไทย กรุ๊ปทัวร์น่าจะประมาณ 3 กรุ๊ปได้ ทั้งทัวร์เที่ยวและทัวร์บริษัท คนเกาหลีก็มีบ้างแต่ไม่มาก 


ได้ที่นั่งติดหน้าต่างแถวแรกเลย ยืดขาได้สบายเต็มที่สุดๆ 55555 


อาหารที่สั่งไว้ รู้สึกพลาดที่สั่งไก่ผัดกิมจิ ทั้งๆ ที่จะไปเกาหลีอยู่แล้ว อีกอย่างกะเพราะของเพื่อนน่ากินกว่ามาก T_T รสชาติพอทานได้ แค่พอหายหิว แต่ปริมาณค่อนข้างอิ่ม
ทำให้ต้องเก็บน้ำส้มใส่กระเป๋าเอาไว้กินในอนาคต 


หวัดดีกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ... วินาทีแรกที่ออกจากเครื่องอากาศหนาวเย็นสบาย พอทนได้ 
พอรับไหว หารู้ไม่ว่าตอนก้าวออกไปจากสนามบินต่างหากที่เป็นของจริง 



ถึงแบบ Official Welcome to Korea ผ่าน Immigration มาโดยไม่ต้องสนทนาอะไรกับตม. เพราะเป็นวีซ่านักเรียน ส่วนกรุ๊ปทัวร์ที่มาไฟล์ทเดียวกันเห็นเจอเรียกไม่ผ่านเยอะเหมือนกัน ผู้หญิงทั้งนั้นเลย ._.) 
ใครจะไป ใครจะมา ก็ต้องระวังอยู่เนาะ ส่วนใหญ่คนที่เปลี่ยนชื่อจะโดนเรียก



เพื่อนร่วมเดินทางในต่างแดน ไปกันทุกที่ ... จำได้ว่านี่เป็นรูปสุดท้ายก่อนที่จะทำร้ายกล้องตัวเองด้วยการพลาดกระแทกน้องกล้องเข้ากับประตูห้องน้ำ ฝาเลนส์หนีเข้าไปมุดข้างใน เปิดเลนส์กล้องออกไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้เลนส์ซูม แต่ 2 วันหลังจากนั้นก็พาน้องกล้องไปรักษาที่ Camera Street แถวนัมแดมุน เขาหมุนให้จึกสองจึกกลับมารอดปลอดภัยได้แล้ว T_T   อีกหนึ่งสิ่งที่สังเกตได้จากร้านกล้อง คือ ไม่พบผลิตภัณฑ์จาก FUJI ในร้านเลย ถ้ากล้องมีปัญหานี่ก็เริ่มวิตกแล้ว

บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้ เวลาหมุนตัวพลิดไปมาก็ระวังน้องกล้องที่ห้อยอยู่บนคอให้ดีเนาะ จะได้ไม่ต้องคิดถึงเลนส์


ถึงเกาหลีแล้ว ... ก็เดินทางจากสนามบินไปที่พักแถวมหาลัย'ฮงแดด้วยรถไฟ ราคาประมาณ 4,000 KRW แต่ถ้าสัมภาระเยอะ(มากกว่า 1 ใบ) แนะนำ ลีมูซีน ราคา 10,000 KRW ปื๊ดเดียวถึง ไม่ต้องเปลี่ยนสายและไม่ต้องแบกของเอง

สำหรับคนที่จะไปรถไฟ แวะซื้อ T-Money ที่เซเว่นในสนามบินอินชอนกันก่อน เพราะต้องใช้กันอีกนาน ค่าบัตร 5,000 KRW เติมเงิน 10,000 KRW หมดแล้วค่อยเติมใหม่ ...


ภาระกิจต่อไปต้องหาหอ หาหอ จะหาได้ไหม จะเจอถูกๆ หรือไม่นะ T__T


#เรียนเกาหลีงบจำกัด  ต้องลุ้นกันต่อไป



วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Study in Sogang] - เรียนภาษาเกาหลีที่ Sogang University


เรียนภาษาเกาหลีที่เกาหลีกันเถอะ :D 


ขั้นตอนในการสมัครเรียนภาษาเกาหลีไม่ยากอย่างที่คิดนะจะบอกให้  เราสามารถทำเองได้ทั้งหมดเลยแหละ หรือถ้าใครไม่สะดวกทำเองตอนนี้ก็มีเอเจนซี่ทำเรื่องให้ อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบ้าง แต่ในเมื่อมันทำเองได้ง่ายๆ เหตุใดเราจึงไม่ทำเองล่ะ!  งั้นเรามาทำเอง ประหยัดงบไปไว้กินซุนแดกันเถอะ และที่สำคัญการทำเรื่องไปเรียนที่เกาหลีด้วยตนเองจะทำให้เราได้รู้กระบวนการขั้นตอน ได้ลอง ได้ศึกษาเอง ได้ผิดเอง เรียนรู้เอง ได้มั่วเอง มันสนุกตรงนี้แหละ (ตรงที่มีความมั่ว 5555)  


เรียนภาษาเกาหลีที่ประเทศเกาหลี ไม่ว่าจะมหาลัยไหน สถาบันภาษาใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เราต้องเตรียมคือ

1. เป้าหมาย หรือ เหตุผล 
การมีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัดจะทำให้เรามุ่งมั่นและพร้อมสู้!  เราอาจจะเรียนภาษาเกาหลีเพื่อทำงาน เรียนเพื่อหาประสบการณ์ หรือบางคนอาจจะกำลังเบื่อชีวิตแบบเดิมๆ นั่นก็ถือเป็นเหตุผล เราอาจจะกำลังมองหาเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิตที่ตลอดเวลา 20 กว่าปีที่เกิดมาบนโลกนี้ไม่เคยเจอ (เอ้อ! เลยขอมาหาจากประเทศนี้เผื่อจะเจอบ้าง)  บางคนอยากจะออกค้นหาตัวเอง อยากออกไปใช้ชีวิต นั่นก็เป็นเหตุผลเช่นกัน

2. ใจ 
พร้อมมากแค่ไหนที่จะไปใช้ชีวิตในต่างแดน 'การเปิดใจ' เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญในการพาตัวเองออกไปใช้ชีวิตในต่างแดน มันเหมือนเราเอาตัวเองออกจากพื้นที่ Comfort Zone มันอาจจะไม่ได้หรูหราอย่างที่เราคิด(หรือถ้าเงินถึงก็หรูหราได้ตามสมควร) และที่สำคัญเราไม่ได้มาเรียนภาษาอย่างเดียว เราต้องใ้ช้ชีวิต เรียนรู้วัฒนธรรม ลักษณะนิสัยของคนที่นี่ซึ่งบางอย่างมันแตกต่างจากที่เราเคยเจอมาก จำไว้เสมอว่าคนเราไม่เหมือนกัน ขนาดคนในประเทศเดียวกัน เติบโตมาในวัฒนธรรมเดียวกันยังแตกต่างกันเลย นับประสาอะไรกับคนที่เกิดกันคนละเส้นละติจูด ดังนั้นการเปิดใจเป็นสิ่งสำคัญ มองทุกอุปสรรคและความผิดพลาดเป็นบทเรียนในการก้าวไปข้างหน้ากัน

3. เงิน 
หยิบยกมาไว้ข้อสุดท้าย แต่สุดท้ายนี่ช่างสำคัญ สำคัญจริงๆ สำคัญสุดๆ เพราะค่าเรียนและค่าครองชีพในประเทศเกาหลีนั้นค่อนข้างสูง ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของคอร์สเรียน ค่าที่พักในเกาหลี ค่าใช้จ่ายส่วนตัวรายเดือน ทั้งหมดนี้จ่ายด้วยเงินแน่นอนไม่ใช่รอยยิ้ม (55555) ดังนั้นคำนวนให้ดีว่าเรามีพร้อม ขอประมาณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของการเรียนภาษาในประเทศนี้ (แบบรัดเข็มขัดสุดๆ)
- ค่าเรียนคอร์สละ 3 เดือน ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 บาท ต่อคอร์ส 
- ค่าที่พักในเกาหลีต่อเดือน 10,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายรายเดือน 10,000 บาท 
 ยกตัวอย่างอีกครั้ง หากใครที่อยากจะเรียนภาษาในประเทศนี้ 1 ปี ต้องมีทุนทรัพย์ขั้นต่ำสักสี่แสน ... TOT ใครบอกว่าเงินไม่สำคัญขอเถียงขาดใจ 


ช็อคกับค่าใช้จ่ายแล้วต่อมาถึงเวลา เลือกมหาวิทยาลัย 
มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะมีวิธีการสอนไม่เหมือนกัน เราต้องศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเราต้องการแบบไหน บางที่เน้นการสอนไวยากรณ์หรือ Grammar บางแห่งเน้นเรื่องการพูดและสนทนา ชื่อมหาลัยที่เราคุ้นๆ หูกันก็จะมี ม.โซล ยอนเซ อีแด ฮงแด ซอกัง ... สำหรับการเรียนภาษาเกาหลีที่ซอกังนั้นจะเน้น 'การพูด' มากกว่าไวยากรณ์ ถ้าใครอยากพูดได้เร็วๆ เรียนสนุกไม่เน้นไวยากรณ์ เชิญที่นี่เลยจ้า :)

เมื่อเลือกมหาวิทยาลัยที่อยากจะเรียนได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ 'การสมัครเรียน'
สำหรับที่ซอกัง สมัครผ่านเวบไซต์ที่ Sogang University  ต้องติดตามช่วงเวลาการรับสมัครให้ดี คอร์สที่เราสมัครเป็นคอร์ส 200 ชั่วโมง ใช้เวลาในการเรียน 3 เดือน (จันทร์-ศุกร์  4 ชั่วโมง/วัน)

เมื่อทำการสมัครเสร็จสิ้น ทางซอกังจะส่งเมลล์รายละเอียดการเรียนต่างๆ ใครที่สมัครไปเรียนมากกว่า 1 คอร์ส ใช้เวลาเรียนมากกว่า 3 เดือน ก็จะต้องทำวีซ่านักเรียน จึงต้องขอเอกสารการรับรองจากมหาลัยเพื่อไปทำวีซ่า ขั้นตอนนี้จะเริ่มมีความเกี่ยวข้องกับศูนย์ราชการแล้ว เพราะเราต้องนำเอกสารไปให้กงสุลและสถานฑูตรับรองก่อนสแกนส่งไปให้ทางมหาวิทยาลัย

เอกสารที่ต้องรับรอง
1. สแกนพาสปอร์ต
2. ใบจบการศึกษา
3. ใบรับรองจำนวนเงินในบัญชีหรือ Statement (ต้องมีมากกว่า 3,000 USD หรือประมาณ 100,000 บาท)

ขั้นตอนในการรับรองเอกสาร 
1. ให้กงสุลต่างประเทศ (ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ชั้น 3) รับรองเอกสารทั้งหมดก่อน ค่าใช้จ่ายชุดละ 200 บาท รอเอกสาร 3 วัน แต่ถ้าต้องการเร่งด่วน ชุดละ 400 บาท (แต่เราไม่รีบเนาะ เรารอได้)
2. นำเอกสารที่กงศุลรับรองไปให้สถานฑูตเกาหลี (MRT ศูนย์วัฒนธรรม) รับรองอีกครั้ง ที่สถานฑูตเกาหลีจะได้ภายในวันนั้นเลย เสียค่าใช้จ่ายเช่นกันแต่น้อยกว่ากงสุล (จำราคาไม่ได้แล้ว)
3. สแกนเอกสารทั้งหมดที่ทำการรับรองแล้วส่งเมลล์ไปยังซอกังหรือทางมหาวิทยาลัย
4. รอให้ซอกังตรวจสอบเอกสาร และรอรับอีเมลล์รายละเอียดการจ่ายเงินค่าคอร์สเรียน
5. จ่ายค่าเรียนและแจ้งหลักฐานการโอน สแกนทุกอย่างสิ่งให้ทางมหาวิทยาลัย (เราจ่ายที่กรุงไทยเพราะตอนนั้นเรทดีสุด)
6. รอ รอ รอ เอกสารที่มหาวิทยาลัยจะส่งมาให้เพื่อไปทำเรื่องขอวีซ่านักเรียน D-4




เอ่ะ! วีซ่า? ทำไมเรียนเกาหลีต้องมีวีซ่า แล้ววีซ่าช่วยอะไรเราได้
มีวีซ่านักเรียนมันดีอย่างไร ทำอย่างไรจะได้มันมา
แนะนำบล็อกนี้เลย ขั้นตอนการทำวีซ่า D-4
บอกไว้ละเอียดมาก :)



หลังจากทำเรื่องไปเรียนเกาหลี ได้วีซ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ...เรื่องมันยังไม่จบเพียงเท่านั้น มีที่เรียนแล้วเราต้องมีตั๋วเครื่องบิน และที่พัก 

การจองตั๋วเครื่องบิน
สายการบินไปเกาหลีมีให้เลือกมากมาย เช่น Korean Air การบินไทย JejuAir JinAir ราคาก็จะต่างกันไปตามช่วงเวลาและโปรโมชั่น ส่วนตัวเราเลือก Air AsiaX เพราะราคาถูกกว่า(มาก) แม้จะรวมค่ากระเป๋า 30 กิโลแล้วแต่ก็ยังถูกกว่าสายการบินอื่นๆ (ตั๋วเที่ยวเดียว 7,xxx บาท ) 

สำหรับคนที่มีวีซ่านักเรียน D-4 สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินแบบวันเวย์ได้ ส่วนตัวแนะนำให้ซื้อแบบวันเวย์เพราะเราไม่รู้กำหนดกลับที่แน่นอน  การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางแบบ One Way Ticket 'ตั๋วเที่ยวเดียว' (อ่านชื่อแล้วรู้สึกเท่ชะมัด)  


ที่่พัก
ที่หลับที่นอนนั้นสำคัญ ในประเทศเกาหลีใต้แห่งนี้ที่พักมีหลายแบบ

1. โกชิวอน หรือ โกชิเทล
เป็นที่พักแบบเป็นห้อง อยู่ได้คนเดียวและมีขนาดเล็ก ที่เคยจินตนาการว่าเล็กและแคบอย่างไร ความจริงมันแคบกว่านั้นมาก เรทราคาจะอยู่ที่ 280,000-700,000 ตามขนาดของห้อง แม้ราคาจะสูงแต่ facilities เขาดี ในราคาที่พักจะรวมค่าน้ำ-ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต, Wifi High Speed, ข้าว กิมจิ รามยอน ฟรีทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง มีครัวรวมให้ร่วมกันใช้ได้ ทำอาหารกันได้

2. ฮาซุกจิบ 하숙집
ฮาซุกจิบจะมีขนาดใหญ่กว่าโกชีวอน เจ้าของจะเป็นอาจุมม่าที่พร้อมจะทำอาหารให้เราทาน 2 มื้อ/วัน ฮาซุกจิบจะสามารถแชร์กับเพื่อนได้อยู่ที่ขนาดของห้อง เรทราคาจะสูงขึ้นกว่าโกชีเทล เริ่มต้นที่ประมาณ 400,000 KRW หรือถ้าอยู่กันหลายคนในห้องเดียว ราคาจะถูกลงกว่านี้

3. วันรูม 
เป็นเหมือนห้องสตูดิโอ มีครบห้องนอน ห้องครัว ห้องรับแขก ห้องน้ำ แต่ของใช้ต่างๆ เราต้องหามาเอง ถ้าอยู่หลายคนสามารถแชร์กันได้ ราคาจะถูกลงมาก แต่วันรูมส่วนใหญ่จะมีสัญญาและค่ามัดจำห้องประมาณ 5 ล้านวอน และต้องอยู่อย่างน้อย 6 เดือน 

รายละเอียดคร่าวๆ ของห้องพักแต่ละแบบจะเป็นประมาณนี้
มีเวบไซต์ให้เสิร์ชหาที่พักในเกาหลีไว้เป็นตัวช่วย


จากการได้ยินประสบการณ์การจองหอพักผ่านเวบไซต์ของคนอื่นทำให้เราตัดสินใจไม่จองผ่านเว็บ รูปส่วนใหญ่ที่เราเห็นในเว็บกับของจริงค่อนข้างต่างกัน(มาก) จึงขอแนะนำให้จองที่พักระยะสั้นในเกาหลี พวกเกสท์เฮ้าส์หรือโรงแรมเพื่อไปสำรวจที่พักแถวมหาลัยด้วยตนเองดีกว่า เจอที่ถูกใจ ตกลงกับเจ้าของที่พักได้จึงค่อยจ่ายเงินเข้าอยู่เนาะ สบายใจกว่า 

ดังนั้นใครที่อยากหาที่พักเองแนะนำให้หาข้อมูลที่ตั้งของมหาลัยและการเดินทาง หลังจากนั้นก็จองที่พักในโซนใกล้ๆ กับมหาลัยจะได้เดินดูที่พักได้สะดวก :D 




เอกสารสำคัญที่ต้องนำมา
1. ถ่ายสำเนาพาสปอร์ตและหน้าวีซ่า D-4  ถ่ายมาเพื่อเหลือเพื่อขาดด้วยเนาะ 
2. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว สำหรับทำเอเลี่ยนการ์ด (เฉพาะ D-4 Visa) พื้นหลังสีขาวและต้องเห็นหูด้วยนะ ย้ำ!ว่ารูปต้องมีหูไม่งั้นได้ถ่ายใหม่ ค่าเสียหาย 7000 KRW เน้อ 



P.S. บล็อกนี้เขียนในขณะที่เราย้ายตัวเองมาอยู่ที่เกาหลีแล้ว ถ้าข้อมูลส่วนใดตกหล่นไปก้ต้องขออภัย หวังว่าตัวอักษรที่เราพิมพ์มันลงไปในวันนี้จะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างในภายภาคหน้า เหมือนดังเช่นตัวอักษรของใครหลายคนที่ได้ช่วยเราไว้ในตอนทำเรื่องเช่นกัน :) 

ไว้ตอนต่อไป ไปเกาหลีกัน!!! 


Contact :
Twitter @CHICKIMILK
E-Mail : chickimilk@hotmail.com 

เปิดเพจแล้ว ~~~~~ ไปกดไลค์กันได้นะ