วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Review] - ปี ค.ศ. 2014 / พ.ศ.๒๕๕๗



สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘
ตอนแรกก็ว่าจะไม่แต่สุดท้ายก็เอาสักหน่อย 

สารภาพว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ ซึ่งบ่งบอกถึงความสะเพร่าของการใช้ชีวิตหน่อยๆ ที่ไม่รู้จักวางแผนและจำประสบการณ์อะไรมากเท่าไหร่นัก ดูเรื่อยเปื่อย ไม่ทุกข์ร้อนกับความเศร้าและไม่สนุกลืมกับความสุข มันดูเรื่อยเปื่อยเกินไปนะว่าไหม?


ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเป็นเดือนๆ แต่ท้ายที่สุดมันคิดไม่ออกจริงๆ เลยไล่เป็นข้อๆ แล้วกัน



What I've done
ปีนี้เป็นปีที่ได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ หลายอย่างมาก คิดว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันก็เช่นกัน
- จบปริญญาตรี
เรียนจบปริญญาตรีอย่างเป็นทางการ ศิลปศาสตร์ ภาษาศาสตร์ แอบได้เกียรตินิยมมาล่อเงินจากแม่ ไม่ได้ดีใจมากมายที่เรียนจบ ไม่ได้ดีใจอะไรที่ได้เกียรตินิยม แต่มาดีใจตอนที่เห็นแม่ดีใจกับรูปรับปริญญาและปริญญาบัตรของเรา
- รับปริญญา
ไม่ได้สนใจอะไรกับการรับปริญญาจนพ่อแม่ต้องกระตุ้น สุดท้ายตัดสินใจรับ เพราะเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้ (คิดแบบนั้นจริงๆ) หลังจากนี้เหมือนอะไรจะยากขึ้นในการทำให้เขาได้ภูมิใจ :( รับเสร็จไม่ได้รู้สึกพองฟูอะไรมากมาย ชอบตรงที่ได้เจอคนที่ไม่เคยเจอ ได้เจอคนที่ไม่ได้เจอมานาน เหมือนงานรับปริญญาเราเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ใครหลายคนกลับมาเจอกัน ... นี่สินะคือความหมายของวันพิเศษและวันสำคัญ
- ชีวิตการทำงาน
ทุกวันนี้ยังคงคิดว่า 4 เดือนในการทำงานให้กับเวบไซต์รีวิวอาหารแห่งหนึ่งไม่ใช่การทำงาน แต่เป็นการ 'เรียนรู้' มากกว่า ไม่ได้คิดว่าตัวเองโตขึ้นมากจากงานนี้ แต่ได้เรียนรู้ในโลกของความจริงมากขึ้น ได้ข้อคิดอะไรดีๆ จากประสบการณ์ของพี่ๆ ในที่ทำงาน ได้คำแนะนำและมิตรภาพที่อบอุ่นจากพี่ๆ ในที่ทำงาน ได้ลองทำในสิ่งที่คิดว่าชอบและพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วเราชอบจริงไหม ... ขอบคุณที่ให้โอกาสทำพลาดและพร้อมให้คำแนะนำ นี่เป็นหนึ่งสิ่งที่อยากขอบคุณที่แห่งนี้เสมอ
- เขียนฟิค
ได้เขียนฟิคที่คิดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลย เป็นฟิคสั้นในโปรเจคท์หนึ่ง ได้เห็นความพยายามของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ทำเพื่อคนสองคน ดีใจที่โลกมีอะไรแบบนี้ให้ยิ้มได้กับความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทนแบบนี้
- รวมเล่มฟิค
เป็นอีกหนึ่งสิ่งใหม่ที่ได้ลองทำ สนุกดี ทำเองทุกขั้นตอนเลย มั่วเองอีกแล้ว ดีใจที่ได้ทำและได้รับการตอบรับ ตอนแรกคิดว่ามีคนอยากได้เล่มเดียวเราก็จะทำ เพราะเราอยากลอง ขาดทุนไม่เป็นไร แต่สุดท้ายได้รับผลตอบรับเกินคาดมาก และทุกวันนี้ก็ยังเสียใจนิดๆ ที่มีคนมาถามซื้อฟิคแต่ไม่มีให้แล้ว ._.
- เรียนภาษาที่เกาหลี
ทำเรื่องมาเรียนภาษาด้วยตัวเอง ตอนแรกที่เหมือนว่าจะต้องเสียเงิน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจทำเองและรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันต้องคุ้มค่าที่ได้ทำเอง ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง งงๆ เบลอๆ ทำมั่วตามสไตล์บ้าง สุดท้ายก็รอดจนได้มานั่งเรียนและนั่งเขียนบล็อกนี้ในประเทศเกาหลีใต้



Who I met 
-  Girls' Generation
ต้นปีไปดูคอนเสิร์ตเกิร์ลเจน เป็นหนึ่งโมเม้นท์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน ร้องไห้ท่วมท้นแต่ไม่เท่าครั้งแรก โหวงๆ ไม่น้อยทุกครั้งที่คิดว่าตอนนี้ไม่ได้มีกัน 9 คน แล้ว
- ชัชชาติ สุทธิพันธ์
- ชูบัม
มิตรสหายชาวอินเดียท่านหนึ่ง ที่เข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ได้ลองงานแปลที่ได้รายได้จากการช่วยงานทำวิจัยปริญญาเอกจากคนนี้ แถมยังได้เพื่อนใหม่อีกด้วย


Where I go 
เป็นอีก 1 ปี ที่ได้ออกเดินทาง ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ตามระยะทาง
-  จ.ตาก
ไปค่ายที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ตาก เป็นค่ายที่รอมานานมาก อยากไปตั้งแต่ครั้งแรกแต่ตอนนั้นพลาด สนุกกับการเอาตัวเองไปอยู่ในที่ใหม่ๆ เพื่อเรียนรู้ตัวเองในที่ใหม่ๆ ได้ใช้เวลากับเพื่อน รุ่นน้อง อาจารย์ เปิดใจคุยกันในหลายเรื่อง แลกเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง เหมือนจะเป็นผู้ให้แต่กลายเป็นว่าค่ายนี้เรากลายเป็นผู้รับ ยังคิดถึงน้องๆ และบรรยากาศที่นู้นอยู่เลย
- จ.สระบุรี
ไปเที่ยวกับรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี เป็นทริปสั้นๆ ที่มีความสุขมาก อิ่มหัวใจ อุ่นหัวใจ เป็นทริปที่ได้มาเพราะการตอบคำถามที่ยากมาก! จนคิดแล้วว่าไม่ได้แหงๆ แต่พอได้รับโทรศัพท์นี่ตัวสั่นกรี๊ดเหมือนน้ำตาจะไหล แต่ก็เกือบพลาดที่ตื่นสาย ตอนแรกนึกว่าจะอดไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ทันจนได้ ทริปนี้เที่ยวสนุก ได้คุยกับชัชชาติอปป้าเหมือนคนรู้จัก แต่พีคสุดตรงที่ได้เจอคนที่แอบชอบในทริปนี้ จนแอบหน่วงๆ ในวินาทีสุดท้ายที่ต้องลงจากรถไฟ ...และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เจอเขาคนนั้นอีกเลย
- เพชรบุรี
ทะเลและค่าย IYF ค่ายเวิลด์แคมป์ ไมไ่ด้สนุกเท่าที่คิด แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไรมาก ได้เพื่อนอินเดียมาหนึ่งคน ภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้อะไรมากมาย แต่เข้าถึงตัวบทของคัมภีร์ศาสนาคริสต์มากขึ้น รู้สึกอินเพราะคำสอนค่อนข้างเรียลและปรับใช้ในชีวิตได้ แต่พอเข้าเรื่องที่มันเหนือธรรมชาติ ความคิดก็เปลี่ยนเลย ไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้ คิดว่าทุกศาสนามีข้อคิดดีๆ ต่างกัน พยายามเอาของแต่ละอย่างมาปรับกับตัวเรามากกว่า จบค่ายนี้กลายเป็นคนไม่มีศาสนาไปเลย ไม่เข้าวัด ไม่เลื่อมใส ศรัทธาอะไร ตอนนี้ยังไม่รู้สึกโหวงเหวงอะไร แต่ในอนาคตคิดว่ายังไงคนเรามันก็ต้องการที่พึ่งทางใจ
- จันทบุรี
ทริปสั้นๆ หลังงานรับปริญญากับครอบครัว ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าตื่นเต้น แต่ดีใจที่ได้มาเที่ยวกับแม่ ดีใจมากๆ
- ฉะเชิงเทรา
เป็นการเดินทางออกทำงานต่างจังหวัดครั้งแรก ชอบ ตื่นเต้นกับการได้ออกนอกสถานที่เสมอ เจอลูกค้าน่ารักที่พาเดินเที่ยว ได้ทานอาหารอร่อย และได้รู้ว่าจังหวัดนี้น่ากลับมาอีกครั้ง
- เชียงใหม่
จังหวัดที่อยากไปมาก สุดท้ายก็ได้ไปและไปกับแม่ สนุกในแบบที่ได้ไปกับแม่ ตั้งใจจะออกเงินเองแต่สุดท้ายก็ค่อนไปทางแม่มากกว่า ชอบนะ อยากไปเชียงใหม่อีก
- เกาหลีใต้
ตอนนี้ต้องมีชีวิตที่นี่ไปอีก 6 เดือน ... ตอนนี้รู้แค่นั้น



What I Bought 
เรื่องเงินๆ ทองๆ ปีที่แล้วสูญเสียทรัพย์สินให้กับสินค้าชิ้นใดไปบ้าง
- Samsung S4
ได้ฤกษ์ถอยโทรศัพท์เครื่องใหม่ ตัดสินใจซื้อหลังจากทำงานได้ไม่กี่วัน เพราะเครื่องเก่าต้องเปลี่ยนแบตและเครื่องรวน สุดท้ายตัดสินใจซื้อใหม่และหวังว่าจะได้ใช้ไปอีก 2 ปี  (10 เดือน 0 % อีกครั้ง) ... เข้าเรื่องโทรศัพท์จึงทำให้ตระหนักได้ว่า 2 ปี ที่ผ่านมาสูญเงินให้สิ่งที่เรียกว่ามือถือไปแล้วเกือบ 4 หมื่น ได้ เอาเข้าจริงเป็นจำนวนเงินที่เยอะพอสมควร
- Fuji X - A1
ตัดสินใจซื้อกล้องตัวเล็กหลังจากอยากได้มานานมาก และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ รักน้องฟูจิมาก ลืมกล้องใหญ่ไปแล้ว สิ่งนี้ก็ 0 % 10 เดือนอีกครั้ง #สบายใจเงินผ่อนสไตล์
- ตุ๊กตาอัลปาก้า
เป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ได้เมื่อปีที่ผ่านมา เทใจให้ความมุ้งมิ้งของตุ๊กตาอัลปาก้ามาก ตอนนี้มีสมาชิก 4 ตัวแล้ว ยังมีตัวเล็กตัวน้อยอีก ซึ่งคิดว่าต่อไปคงลุยซื้อตัวโตๆ อย่างเดียว แต่พอคิดอีกที แค่นี้บนเตียงก็ไม่มีที่นอนแล้วนะ  อย่างไรก็ตามรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ใครเห็นอัลปาก้าแล้วคิดถึงเรา :)

What I realized
เป็นหัวข้อที่ไม่รู้จะจับใส่อะไรดี จึงมาเป็นสิ่งนี้
- เป็นหนึ่งปีที่ค้นพบความเป็น introvert ของตัวเอง ที่ผ่านมาคิดว่าตัวเอง extrovert มาตลอด จนกระทั่งมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และได้ข้อสรุปว่ามันเริ่มไต่ระดับขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวมาตลอด
- เป็นปีที่อ่านหนังสือน้อยลงมาก ทำให้งานเขียนกร่อยลงด้วย
- เป็นปีที่ให้เวลากับการสร้างภาพไปเยอะมาก
- เป็นปีที่คิดถึง 'คนอื่น' มากกว่า 'คนของเรา' เยอะมาก
- เป็นปีที่มีปัญหากับความสัมพันธ์มากเท่าที่เคยมี มันค่อนข้างซับซ้อนและแอบเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย แต่ค่อนข้างได้อะไรเยอะมากจากการล้มเหลวในความสัมพันธ์ครั้งนี้ เหมือนตัดใจกับอะไรๆ ง่ายขึ้น มองเห็นทุกความสัมพันธ์ว่าไม่ถาวร ถ้าเจออีกครั้งคงแข็งแกร่งขึ้น ครั้งนี้มันครั้งแรก หน่วงนานหน่อย คงเพราะแต่ก่อนมันดีมากเกินไป ตอนไม่เหลืออะไรเลยทำใจไม่ค่อยได้... และทุกวันนี้มันก็ยังคงคลุมเครือ และที่ยังคลุมเครือคงเป็นความผิดเราที่ไม่ชัดเจนและไม่กล้า
- เป็นปีที่ได้ค้นพบว่าตัวเองกลีวที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง อาจจะเพราะช่วยเหลือตัวเองมาตลอด พอมีเรื่องที่คิดว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ น่าจะขอความช่วยเหลือใครสักคนแต่สุดท้ายก็งมเองตลอด หลายคนที่อยากเข้าหาแต่สุดท้ายเราก็ไม่กล้าเพราะกลัวเขารำคาญ กลัวเป็นภาระ พอมารู้ทีหลังว่าเขาเต็มใจจะช่วยก็แอบเสียดาย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเขาเต็มใจจะช่วยเรา แค่นี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว
- เป็นปีที่ 'คิดมาก'



ยังคงพอใจกับการได้ทำอะไรให้คนรอบข้างและคนอื่นๆ ยิ้ม และดีใจมากๆ เมื่อได้รับคำขอบคุณว่า "ขอบคุณ" ที่เราทำสิ่งนั้นให้


น่าจะขาด หายไปหลายสิ่งเหมือนกัน ไว้ปีนี้จะพยายามเขียนบันทึกให้มากขึ้นแล้วกัน
แต่ปีหน้ายังไม่มีแพลนอะไรทั้งนั้น ไม่มี resolution อะไรด้วย เป็นการใช้ชีวิตที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง




P.S. ทิ้งท้ายสิ้นปีด้วยการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เป็นสิ่งดีๆ ทิ้งท้ายปีที่เหมือนจะเป็นความหวังให้ตัวเองเลยล่ะ :)

สุดท้ายจริงๆ ... สวัสดีปีใหม่ :)








วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Study in Sogang] - One Way Ticket เกาหลีตั๋วเที่ยวเดียว



ถึงวันเดินทางแล้ว...
บิน 8 โมงเช้า ณ สนามบินดอนเมือง  รีบมาเช็คอินเพราะคนเยอะทุกช่อง สำหรับ AirAsia-X ไปเกาหลี คนจะไม่เยอะเท่าฝั่งมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน จุดนั้นคนจะเยอะวุ่นวายกันมากๆ  น้ำหนักกระเป๋าที่โหลดมา 30 กิโล ลุ้นแล้วลุ้นอีก พอชั่งได้ 26 กิโลกรัม โล่งอกโล่งใจราวกับสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง (ฮ่าๆ)



จุดเช็คอินของ Air Asia-X คนน้อยกว่าฝั่งนู้นเยอะ...


One Way Ticket ตั๋วเที่ยวเดียว ไม่มีเที่ยวกลับ 
ราคา 7,xxx บาท รวมน้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัม และอาหารบนเครื่อง
แต่ตอนจะกลับขอลดแบบตั๋ว 0 บาท เลยนะ  :D 





จุดรอขึ้นเครื่อง ส่วนใหญ่คนไทย กรุ๊ปทัวร์น่าจะประมาณ 3 กรุ๊ปได้ ทั้งทัวร์เที่ยวและทัวร์บริษัท คนเกาหลีก็มีบ้างแต่ไม่มาก 


ได้ที่นั่งติดหน้าต่างแถวแรกเลย ยืดขาได้สบายเต็มที่สุดๆ 55555 


อาหารที่สั่งไว้ รู้สึกพลาดที่สั่งไก่ผัดกิมจิ ทั้งๆ ที่จะไปเกาหลีอยู่แล้ว อีกอย่างกะเพราะของเพื่อนน่ากินกว่ามาก T_T รสชาติพอทานได้ แค่พอหายหิว แต่ปริมาณค่อนข้างอิ่ม
ทำให้ต้องเก็บน้ำส้มใส่กระเป๋าเอาไว้กินในอนาคต 


หวัดดีกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ... วินาทีแรกที่ออกจากเครื่องอากาศหนาวเย็นสบาย พอทนได้ 
พอรับไหว หารู้ไม่ว่าตอนก้าวออกไปจากสนามบินต่างหากที่เป็นของจริง 



ถึงแบบ Official Welcome to Korea ผ่าน Immigration มาโดยไม่ต้องสนทนาอะไรกับตม. เพราะเป็นวีซ่านักเรียน ส่วนกรุ๊ปทัวร์ที่มาไฟล์ทเดียวกันเห็นเจอเรียกไม่ผ่านเยอะเหมือนกัน ผู้หญิงทั้งนั้นเลย ._.) 
ใครจะไป ใครจะมา ก็ต้องระวังอยู่เนาะ ส่วนใหญ่คนที่เปลี่ยนชื่อจะโดนเรียก



เพื่อนร่วมเดินทางในต่างแดน ไปกันทุกที่ ... จำได้ว่านี่เป็นรูปสุดท้ายก่อนที่จะทำร้ายกล้องตัวเองด้วยการพลาดกระแทกน้องกล้องเข้ากับประตูห้องน้ำ ฝาเลนส์หนีเข้าไปมุดข้างใน เปิดเลนส์กล้องออกไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้เลนส์ซูม แต่ 2 วันหลังจากนั้นก็พาน้องกล้องไปรักษาที่ Camera Street แถวนัมแดมุน เขาหมุนให้จึกสองจึกกลับมารอดปลอดภัยได้แล้ว T_T   อีกหนึ่งสิ่งที่สังเกตได้จากร้านกล้อง คือ ไม่พบผลิตภัณฑ์จาก FUJI ในร้านเลย ถ้ากล้องมีปัญหานี่ก็เริ่มวิตกแล้ว

บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้ เวลาหมุนตัวพลิดไปมาก็ระวังน้องกล้องที่ห้อยอยู่บนคอให้ดีเนาะ จะได้ไม่ต้องคิดถึงเลนส์


ถึงเกาหลีแล้ว ... ก็เดินทางจากสนามบินไปที่พักแถวมหาลัย'ฮงแดด้วยรถไฟ ราคาประมาณ 4,000 KRW แต่ถ้าสัมภาระเยอะ(มากกว่า 1 ใบ) แนะนำ ลีมูซีน ราคา 10,000 KRW ปื๊ดเดียวถึง ไม่ต้องเปลี่ยนสายและไม่ต้องแบกของเอง

สำหรับคนที่จะไปรถไฟ แวะซื้อ T-Money ที่เซเว่นในสนามบินอินชอนกันก่อน เพราะต้องใช้กันอีกนาน ค่าบัตร 5,000 KRW เติมเงิน 10,000 KRW หมดแล้วค่อยเติมใหม่ ...


ภาระกิจต่อไปต้องหาหอ หาหอ จะหาได้ไหม จะเจอถูกๆ หรือไม่นะ T__T


#เรียนเกาหลีงบจำกัด  ต้องลุ้นกันต่อไป



วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Study in Sogang] - เรียนภาษาเกาหลีที่ Sogang University


เรียนภาษาเกาหลีที่เกาหลีกันเถอะ :D 


ขั้นตอนในการสมัครเรียนภาษาเกาหลีไม่ยากอย่างที่คิดนะจะบอกให้  เราสามารถทำเองได้ทั้งหมดเลยแหละ หรือถ้าใครไม่สะดวกทำเองตอนนี้ก็มีเอเจนซี่ทำเรื่องให้ อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบ้าง แต่ในเมื่อมันทำเองได้ง่ายๆ เหตุใดเราจึงไม่ทำเองล่ะ!  งั้นเรามาทำเอง ประหยัดงบไปไว้กินซุนแดกันเถอะ และที่สำคัญการทำเรื่องไปเรียนที่เกาหลีด้วยตนเองจะทำให้เราได้รู้กระบวนการขั้นตอน ได้ลอง ได้ศึกษาเอง ได้ผิดเอง เรียนรู้เอง ได้มั่วเอง มันสนุกตรงนี้แหละ (ตรงที่มีความมั่ว 5555)  


เรียนภาษาเกาหลีที่ประเทศเกาหลี ไม่ว่าจะมหาลัยไหน สถาบันภาษาใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เราต้องเตรียมคือ

1. เป้าหมาย หรือ เหตุผล 
การมีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัดจะทำให้เรามุ่งมั่นและพร้อมสู้!  เราอาจจะเรียนภาษาเกาหลีเพื่อทำงาน เรียนเพื่อหาประสบการณ์ หรือบางคนอาจจะกำลังเบื่อชีวิตแบบเดิมๆ นั่นก็ถือเป็นเหตุผล เราอาจจะกำลังมองหาเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิตที่ตลอดเวลา 20 กว่าปีที่เกิดมาบนโลกนี้ไม่เคยเจอ (เอ้อ! เลยขอมาหาจากประเทศนี้เผื่อจะเจอบ้าง)  บางคนอยากจะออกค้นหาตัวเอง อยากออกไปใช้ชีวิต นั่นก็เป็นเหตุผลเช่นกัน

2. ใจ 
พร้อมมากแค่ไหนที่จะไปใช้ชีวิตในต่างแดน 'การเปิดใจ' เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญในการพาตัวเองออกไปใช้ชีวิตในต่างแดน มันเหมือนเราเอาตัวเองออกจากพื้นที่ Comfort Zone มันอาจจะไม่ได้หรูหราอย่างที่เราคิด(หรือถ้าเงินถึงก็หรูหราได้ตามสมควร) และที่สำคัญเราไม่ได้มาเรียนภาษาอย่างเดียว เราต้องใ้ช้ชีวิต เรียนรู้วัฒนธรรม ลักษณะนิสัยของคนที่นี่ซึ่งบางอย่างมันแตกต่างจากที่เราเคยเจอมาก จำไว้เสมอว่าคนเราไม่เหมือนกัน ขนาดคนในประเทศเดียวกัน เติบโตมาในวัฒนธรรมเดียวกันยังแตกต่างกันเลย นับประสาอะไรกับคนที่เกิดกันคนละเส้นละติจูด ดังนั้นการเปิดใจเป็นสิ่งสำคัญ มองทุกอุปสรรคและความผิดพลาดเป็นบทเรียนในการก้าวไปข้างหน้ากัน

3. เงิน 
หยิบยกมาไว้ข้อสุดท้าย แต่สุดท้ายนี่ช่างสำคัญ สำคัญจริงๆ สำคัญสุดๆ เพราะค่าเรียนและค่าครองชีพในประเทศเกาหลีนั้นค่อนข้างสูง ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของคอร์สเรียน ค่าที่พักในเกาหลี ค่าใช้จ่ายส่วนตัวรายเดือน ทั้งหมดนี้จ่ายด้วยเงินแน่นอนไม่ใช่รอยยิ้ม (55555) ดังนั้นคำนวนให้ดีว่าเรามีพร้อม ขอประมาณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของการเรียนภาษาในประเทศนี้ (แบบรัดเข็มขัดสุดๆ)
- ค่าเรียนคอร์สละ 3 เดือน ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 บาท ต่อคอร์ส 
- ค่าที่พักในเกาหลีต่อเดือน 10,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายรายเดือน 10,000 บาท 
 ยกตัวอย่างอีกครั้ง หากใครที่อยากจะเรียนภาษาในประเทศนี้ 1 ปี ต้องมีทุนทรัพย์ขั้นต่ำสักสี่แสน ... TOT ใครบอกว่าเงินไม่สำคัญขอเถียงขาดใจ 


ช็อคกับค่าใช้จ่ายแล้วต่อมาถึงเวลา เลือกมหาวิทยาลัย 
มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะมีวิธีการสอนไม่เหมือนกัน เราต้องศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเราต้องการแบบไหน บางที่เน้นการสอนไวยากรณ์หรือ Grammar บางแห่งเน้นเรื่องการพูดและสนทนา ชื่อมหาลัยที่เราคุ้นๆ หูกันก็จะมี ม.โซล ยอนเซ อีแด ฮงแด ซอกัง ... สำหรับการเรียนภาษาเกาหลีที่ซอกังนั้นจะเน้น 'การพูด' มากกว่าไวยากรณ์ ถ้าใครอยากพูดได้เร็วๆ เรียนสนุกไม่เน้นไวยากรณ์ เชิญที่นี่เลยจ้า :)

เมื่อเลือกมหาวิทยาลัยที่อยากจะเรียนได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ 'การสมัครเรียน'
สำหรับที่ซอกัง สมัครผ่านเวบไซต์ที่ Sogang University  ต้องติดตามช่วงเวลาการรับสมัครให้ดี คอร์สที่เราสมัครเป็นคอร์ส 200 ชั่วโมง ใช้เวลาในการเรียน 3 เดือน (จันทร์-ศุกร์  4 ชั่วโมง/วัน)

เมื่อทำการสมัครเสร็จสิ้น ทางซอกังจะส่งเมลล์รายละเอียดการเรียนต่างๆ ใครที่สมัครไปเรียนมากกว่า 1 คอร์ส ใช้เวลาเรียนมากกว่า 3 เดือน ก็จะต้องทำวีซ่านักเรียน จึงต้องขอเอกสารการรับรองจากมหาลัยเพื่อไปทำวีซ่า ขั้นตอนนี้จะเริ่มมีความเกี่ยวข้องกับศูนย์ราชการแล้ว เพราะเราต้องนำเอกสารไปให้กงสุลและสถานฑูตรับรองก่อนสแกนส่งไปให้ทางมหาวิทยาลัย

เอกสารที่ต้องรับรอง
1. สแกนพาสปอร์ต
2. ใบจบการศึกษา
3. ใบรับรองจำนวนเงินในบัญชีหรือ Statement (ต้องมีมากกว่า 3,000 USD หรือประมาณ 100,000 บาท)

ขั้นตอนในการรับรองเอกสาร 
1. ให้กงสุลต่างประเทศ (ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ชั้น 3) รับรองเอกสารทั้งหมดก่อน ค่าใช้จ่ายชุดละ 200 บาท รอเอกสาร 3 วัน แต่ถ้าต้องการเร่งด่วน ชุดละ 400 บาท (แต่เราไม่รีบเนาะ เรารอได้)
2. นำเอกสารที่กงศุลรับรองไปให้สถานฑูตเกาหลี (MRT ศูนย์วัฒนธรรม) รับรองอีกครั้ง ที่สถานฑูตเกาหลีจะได้ภายในวันนั้นเลย เสียค่าใช้จ่ายเช่นกันแต่น้อยกว่ากงสุล (จำราคาไม่ได้แล้ว)
3. สแกนเอกสารทั้งหมดที่ทำการรับรองแล้วส่งเมลล์ไปยังซอกังหรือทางมหาวิทยาลัย
4. รอให้ซอกังตรวจสอบเอกสาร และรอรับอีเมลล์รายละเอียดการจ่ายเงินค่าคอร์สเรียน
5. จ่ายค่าเรียนและแจ้งหลักฐานการโอน สแกนทุกอย่างสิ่งให้ทางมหาวิทยาลัย (เราจ่ายที่กรุงไทยเพราะตอนนั้นเรทดีสุด)
6. รอ รอ รอ เอกสารที่มหาวิทยาลัยจะส่งมาให้เพื่อไปทำเรื่องขอวีซ่านักเรียน D-4




เอ่ะ! วีซ่า? ทำไมเรียนเกาหลีต้องมีวีซ่า แล้ววีซ่าช่วยอะไรเราได้
มีวีซ่านักเรียนมันดีอย่างไร ทำอย่างไรจะได้มันมา
แนะนำบล็อกนี้เลย ขั้นตอนการทำวีซ่า D-4
บอกไว้ละเอียดมาก :)



หลังจากทำเรื่องไปเรียนเกาหลี ได้วีซ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ...เรื่องมันยังไม่จบเพียงเท่านั้น มีที่เรียนแล้วเราต้องมีตั๋วเครื่องบิน และที่พัก 

การจองตั๋วเครื่องบิน
สายการบินไปเกาหลีมีให้เลือกมากมาย เช่น Korean Air การบินไทย JejuAir JinAir ราคาก็จะต่างกันไปตามช่วงเวลาและโปรโมชั่น ส่วนตัวเราเลือก Air AsiaX เพราะราคาถูกกว่า(มาก) แม้จะรวมค่ากระเป๋า 30 กิโลแล้วแต่ก็ยังถูกกว่าสายการบินอื่นๆ (ตั๋วเที่ยวเดียว 7,xxx บาท ) 

สำหรับคนที่มีวีซ่านักเรียน D-4 สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินแบบวันเวย์ได้ ส่วนตัวแนะนำให้ซื้อแบบวันเวย์เพราะเราไม่รู้กำหนดกลับที่แน่นอน  การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางแบบ One Way Ticket 'ตั๋วเที่ยวเดียว' (อ่านชื่อแล้วรู้สึกเท่ชะมัด)  


ที่่พัก
ที่หลับที่นอนนั้นสำคัญ ในประเทศเกาหลีใต้แห่งนี้ที่พักมีหลายแบบ

1. โกชิวอน หรือ โกชิเทล
เป็นที่พักแบบเป็นห้อง อยู่ได้คนเดียวและมีขนาดเล็ก ที่เคยจินตนาการว่าเล็กและแคบอย่างไร ความจริงมันแคบกว่านั้นมาก เรทราคาจะอยู่ที่ 280,000-700,000 ตามขนาดของห้อง แม้ราคาจะสูงแต่ facilities เขาดี ในราคาที่พักจะรวมค่าน้ำ-ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต, Wifi High Speed, ข้าว กิมจิ รามยอน ฟรีทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง มีครัวรวมให้ร่วมกันใช้ได้ ทำอาหารกันได้

2. ฮาซุกจิบ 하숙집
ฮาซุกจิบจะมีขนาดใหญ่กว่าโกชีวอน เจ้าของจะเป็นอาจุมม่าที่พร้อมจะทำอาหารให้เราทาน 2 มื้อ/วัน ฮาซุกจิบจะสามารถแชร์กับเพื่อนได้อยู่ที่ขนาดของห้อง เรทราคาจะสูงขึ้นกว่าโกชีเทล เริ่มต้นที่ประมาณ 400,000 KRW หรือถ้าอยู่กันหลายคนในห้องเดียว ราคาจะถูกลงกว่านี้

3. วันรูม 
เป็นเหมือนห้องสตูดิโอ มีครบห้องนอน ห้องครัว ห้องรับแขก ห้องน้ำ แต่ของใช้ต่างๆ เราต้องหามาเอง ถ้าอยู่หลายคนสามารถแชร์กันได้ ราคาจะถูกลงมาก แต่วันรูมส่วนใหญ่จะมีสัญญาและค่ามัดจำห้องประมาณ 5 ล้านวอน และต้องอยู่อย่างน้อย 6 เดือน 

รายละเอียดคร่าวๆ ของห้องพักแต่ละแบบจะเป็นประมาณนี้
มีเวบไซต์ให้เสิร์ชหาที่พักในเกาหลีไว้เป็นตัวช่วย


จากการได้ยินประสบการณ์การจองหอพักผ่านเวบไซต์ของคนอื่นทำให้เราตัดสินใจไม่จองผ่านเว็บ รูปส่วนใหญ่ที่เราเห็นในเว็บกับของจริงค่อนข้างต่างกัน(มาก) จึงขอแนะนำให้จองที่พักระยะสั้นในเกาหลี พวกเกสท์เฮ้าส์หรือโรงแรมเพื่อไปสำรวจที่พักแถวมหาลัยด้วยตนเองดีกว่า เจอที่ถูกใจ ตกลงกับเจ้าของที่พักได้จึงค่อยจ่ายเงินเข้าอยู่เนาะ สบายใจกว่า 

ดังนั้นใครที่อยากหาที่พักเองแนะนำให้หาข้อมูลที่ตั้งของมหาลัยและการเดินทาง หลังจากนั้นก็จองที่พักในโซนใกล้ๆ กับมหาลัยจะได้เดินดูที่พักได้สะดวก :D 




เอกสารสำคัญที่ต้องนำมา
1. ถ่ายสำเนาพาสปอร์ตและหน้าวีซ่า D-4  ถ่ายมาเพื่อเหลือเพื่อขาดด้วยเนาะ 
2. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว สำหรับทำเอเลี่ยนการ์ด (เฉพาะ D-4 Visa) พื้นหลังสีขาวและต้องเห็นหูด้วยนะ ย้ำ!ว่ารูปต้องมีหูไม่งั้นได้ถ่ายใหม่ ค่าเสียหาย 7000 KRW เน้อ 



P.S. บล็อกนี้เขียนในขณะที่เราย้ายตัวเองมาอยู่ที่เกาหลีแล้ว ถ้าข้อมูลส่วนใดตกหล่นไปก้ต้องขออภัย หวังว่าตัวอักษรที่เราพิมพ์มันลงไปในวันนี้จะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างในภายภาคหน้า เหมือนดังเช่นตัวอักษรของใครหลายคนที่ได้ช่วยเราไว้ในตอนทำเรื่องเช่นกัน :) 

ไว้ตอนต่อไป ไปเกาหลีกัน!!! 


Contact :
Twitter @CHICKIMILK
E-Mail : chickimilk@hotmail.com 

เปิดเพจแล้ว ~~~~~ ไปกดไลค์กันได้นะ



วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Photography] - Cat In Soi (แมวในซอย)


จบ Mission "Cat In Soi" (แมวในซอย) ดังที่ได้ตั้งใจไว้แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาลงรูป

หลังจากแอบถ่ายแมวในซอยมาสักพัก (ประมาณหนึ่งเดือน ไปบ้างไม่ไปบ้าง)
ครั้งแรกถ่ายน้องๆ ด้วยกล้องโทรศัพท์ Samsung S4 ชอบภาพวันแรกที่ได้เจอน้องๆ มากกว่า เพราะมีหลายตัวมาก ประมาณ 10 ตัวได้ แต่พอหลังจากนั้น สงสัยน้องๆ จะรู้ตัวว่าจะโดนแอบถ่าย เพราะหายไปกว่าครึ่ง .__.)

ภาพทั้งหมดถ่ายโดย Fuji X-A1 ช่วงแรกๆ ที่ได้กล้องมายังงงเบลอๆ กับระบบและการใช้ แสงจะ over เป็นส่วนใหญ่เพราะยังหาปุ่มชดเชยแสงไม่เจอ แต่ตอนนี้เจอแล้ว (ฮ่าๆ)  ถือว่าได้ทดสอบกล้องด้วยการถ่ายน้องแมวกัน ก่อนอื่นขอบอกเลยว่าตอนนี้หลง Fuji มาก สีสวยถูกใจ ใช้ง่าย ภาพคม ... ตอนนี้รักน้องฟูจิสุดๆ ถึงขั้นเลิกถ่ายรูปในมือถือไปแล้ว :3

Fuji X-A1 เป็นกล้อง Mirorless สลายเงินให้กับน้องฟูจิตัวนี้ไปในราคาโปรโมชั่นแบบ 2 เลนส์ ได้เลนส์ 16-50 กับ 55-230 ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการซื้อเลนส์เดียว ราคาเลนส์เดียวจะอยู่ที่ 16,xxx ถ้าซื้อ 2 เลนส์จะอยู่ที่ 20,xxx บาท ถ้าใครซื้อ 2 เลนส์มาแล้วไม่ได้ใช้เลนส์เทเล สามารถนำไปขายได้ในราคาได้ค่าขนมเพิ่ม ปกติแล้วเลนส์เทเล 55-230 อยู่ที่ 12,xxx แต่ถ้าใครที่ซื้อในโปรสองเลนส์มาแล้วไม่ได้ใช้ ก็เอามาขายต่อได้ที่ราคาราวๆ 7,000-8,000 บาท กรุบกริบๆ ได้ค่าขนมเล็กน้อย เป็นการลงทุนอีกแบบ (หรอ '-' )

กลับมาที่น้องแมวๆ ในซอยของเรา เวลาประมาณ 5 โมงเย็นนิดๆ  ปั่นจักรยานออกไปหาน้องแมวๆ ในซอยใกล้บ้าน ถ้าไปก่อนนี้ไม่เจอ เคยลองแล้ว ต้อง 5 โมงเย็น น้องๆ ถึงจะออกมา ออกมากินข้าวบ้าง มาวิ่งเล่นไล่กันบ้าง เกาะตามรั้ว นอนกลางถนนบ้าง แสงตอน 5- 6 โมงขอมอบมันแด่น้องแมวๆ ในซอยแห่งนี้

น้องๆ กลัวคนมาก เข้าใกล้เกิน 1 เมตรไม่ได้เลย ความจริง 2 เมตร น้องก็วิ่งหนีกันแล้ว .__.) เราไม่ได้กินแมวนะ เรามาดี อยากเล่นด้วย(มากๆ) ไปหาน้องมาตั้งหลายวัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้จับเลยสักตัว ทำให้รูปที่ดูใกล้ๆ ส่วนใหญ่คือครอปมานั่นเอง (ฮ่าๆ) และการครอปนี่เองทำให้ค้นพบความคมของน้องฟูจิ X-A1 ...มันคมจริง  รักเลย <3

ห้าโมงแล้วๆ ช่วงนี้มืดไวด้วย รีบถ่ายน้องๆ กัน เดี๋ยวแสงจะหมด



ถ่ายน้องตัวนี้ได้เยอะสุด เพราะน้องออกมาทุกวันที่ไปหา แล้วก็ไม่ค่อยวิ่งหนีไปไหน ถ้าไม่เข้าไปใกล้น้องมาก น้องชอบมองกล้อง ชอบนั่งท่าแบ๊ว (ดังเช่นในรูป) เห็นแล้วอยากกอดมาก แต่เข้าใกล้ไม่ได้ ;__;



ไม่แน่ใจว่าแมวทุกตัวที่วิ่งเล่นในซอยบ้านหลังไหนเป็นเจ้าของ เพราะบางวันมาน้องก็มุดเข้าหลังนี้ที หลังโน้นที เคยเจอคุณป้าคนหนึ่งมาให้อาหารน้องๆ เหมือนกัน เขาก็ดูงงๆ ว่านี่มาถ่ายอะไร (ฮ่าๆ) แต่ก็ดีที่คุณป้าไม่ไล่ 
 น้องมองกล้องอีกแล้ว น่ารัก >3< 
Someone is watching You รู้ไหมนะ?

ได้แต่มองเธอข้างหลัง ...

แมวกับรั้วบ้านเป็นของคู่กัน ไม่เคยได้ยินใครสักคนว่าไว้ ... พอเจอน้องแมวในซอยเลยว่าไว้ซะเอง น้องๆ ชอบขึ้นรั้วกันมาก แต่ละวันขึ้นไม่ซ้ำหน้า มาวันนึงเจออีกตัว มาอีกวันก็อีกตัว แถมยังไม่ขึ้นพร้อมกันอีก ไม่รู้ทำไม แบ่งเวรกันเล่นรั้วบ้านหรืออย่างไร ? 

 รูปนี้ #nofilter แต่ crop เข้าซะ ...
 มโนว่าน้องมอง 

ว่ากันด้วย Fuji X-A1 สักนิด เลนส์ที่ได้มาเป็น 16-50 พอปรับที่ 16 จะกลายเป็นเลนส์ไวด์ดีๆ นี่เอง ส่วนตัวชอบมาก เพราะ Canon ไม่ได้ให้สิ่งนั้นมา แต่บางครั้งมันไวด์มากก็ยังไม่ชิน คนที่ชอบถ่ายภาพมุมกว้างคงถูกใจ เคยได้ยินคนเล่นฟูจิหลายคนทิ้งเลนส์ฟิกซ์เพราะรักความไวด์ของเลนส์ตัวนี้ด้วย ว้าว O.O


น้องแมวเหม่อมองท้องฟ้า 

อีกหนึ่งเรื่องที่น่าขำขันคือหาจุดโฟกัสของกล้องไม่เจอ เพราะตั้งค่าผิด ไปเลือกโฟกัสใบหน้า ทำให้เลือกจุดโฟกัสไม่ได้ เพราะมันจะหาจุดโฟกัสอัตโนมัติ มีช่วงหนึ่งที่ถ่ายแมวแต่โฟกัสใบไม้ โฟกัสบ้าน กว่าจะได้โฟกัสเลือกเองกลับมา ก็มั่วอีกหลายวัน 

 รักน้องแมวตัวนี้จัง ... ดูไร้เดียงสา 

 แมวมองๆ อยากลงมาเล่นด้วยกันก็บอกดิ 

น้องแมวอีกหนึ่งตัว ตัวนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกับตัวแรกใช่ไหม ใครรู้บอกที ... ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ ... ตาคนละสีกัน ตัวนี้ก็เข้าใกล้ง่าย แต่รูปก็ครอปมาอยู่ดี ครอปเข้าใกล้พอควร แต่รูปก็ยังคมอยู่ เห็นตาน้องใสแจ๋วเลย แอบเสียวน้องๆ อยู่ใกล้สายไฟเหมือนกันนะเนี่ย  


แสงส้มเริ่มมา ... แมวส้มเลย เบลอเลยด้วย


กับรั้วกับเสายังไม่หมด อย่างที่บอกว่ารั้วบ้านกับแมวเป็นของคู่กัน แต่บางครั้งน้องก็เล่นท่ายากเนาะ 



แมวตัวนี้เพิ่งได้เจอหน้ากันตอนช่วงหลังๆ หน้าตาน้องไม่ชวนเข้าใกล้เท่าไหร่ แต่ก็ยังอยากเข้าใกล้อยู่ดี แล้วเป็นอย่างที่คิด แค่ขยับเหมือนจะเข้าหา น้องก็วิ่งพรวดไปกับรั้วทันที ... นี่ก็เลยต้องหยุดเพราะกลัวน้องจะร่วงลงมา ...ก็ได้ๆ ไม่ตามแล้วก็ได้ ;_;)

อีกตัวก็เล่นของสูงเช่นกัน ไปปักหลังอยู่ใกล้ป้ายด้วย ความหมายป้ายก็ดี ตอนถ่ายไปได้ยินเสียงน้อง(ที่มโนขึ้นมาเอง)บอกว่า "ทุบตึกได้แต่อย่าทุบหนูนะ ช็อตนี้น้องมองกล้อง เป็นรูปเดียวที่มองและโชคดีที่ถ่ายทัน


 ภาพต่อจากนี้เป็นภาพในช่วงที่แสงใกล้จะหมด white balance อะไรนั้นลืมไปหมดเพราะกลัวเก็บช็อตน้องแมวไม่ได้ ... เริ่มรู้สึกจิตนิดๆ เมื่อเห็นแมวปีนขึ้นรั้ว ต้องถ่ายๆ ต้องเก็บๆ (ฮ่าๆ)




 อยากจะขออุ้งเท้านั้นมาสัมผัส

น้องดูเป็นแมวไร้เดียงสาและบริสุทธิ์จัง ตาแป๋วเชียว 

อีกหนึ่งมุมมองที่ได้มาจากการถ่ายแมวในซอย นอกจากการใช้ชีวิตบนถนนโดยระมัดระวังแล้ว น้องๆ ยังต้องแฮปปี้กับการอาศัยอยู่ใต้รถยนต์ที่เข้าออกมาแวะจอดในซอย แถมยังอยู่กันเป็นกลุ่มด้วยนี่สิ อยากรู้จังว่าน้องคุยไรกันไหม อยากเข้าใจภาษาแมว ._.


 มองๆ มนุษย์

ตาหนูคมจังเลย

ตั้งแต่เอากล้องฟูจิไปถ่ายในแมวในซอย ได้หยิบเลนส์เทเลมาลองแค่ครั้งเดียว รู้สึกชอบเลนส์ 16-50 มากกว่า การที่เราคิดว่าตัวเองอยู่ใกล้จากวัตถุมันทำให้เราเข้าหาวัตถุมากขึ้น อย่างกับน้องแมวทั้งหลาย แม้รู้ว่าน้องกลัวมนุษย์อย่างเรา แต่มันก็ต้องสร้างเทคนิคในการใกล้ชิดบ้างสิเนาะ แม้ไม่ได้สัมผัสขนนิ่มๆ แต่ได้ใกล้ขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี ... ลาก่อนเทเล พี่ครอปได้ๆ :D

น้องแมวตัวต่อไป เป็นแมวที่วันแรกไม่ได้เจอ เพิ่งจะได้เจอหน้าตอนช่วงหลังๆ น้องไปอยู่ไหนมาก็ไม่รู้ แต่พอป๊ะกัน น้องก็มาพร้อมร่องรอยแห่งประสบการณ์ แผลแดงข้างแก้มมาเลยนะไอ้หนูนักสู้ ไม่รู้ไปฟัดกับใครที่ไหนมา 




ด้วยความสัตย์จริง อยากเข้าใกล้แมวตัวนี้มาก น้องสีแปลกจากแมวตัวอื่น เหมือนแมวการ์ฟิลด์เลย น่าเอ็นดูมากๆ แต่พอจะเข้าใจ เช่นเคย..น้องวิ่งหนีเตลิดเหมือนเจอผี นี่ขนาดแค่นั่งลงถ่ายรูปแบบห่างๆ น้องยังดูตกใจเลย ... พี่มาดีจริงๆ นะหนู ._.)



มาถึงอิริยาบถสำคัญกันบ้าง นั่นก็คือการกินนั่นเอง ความจริงแล้วเห็นน้องกินข้าวกันหลายครั้งแล้วนะ แต่วันที่ได้เห็นไม่ได้เอากล้องไปด้วย อดไป พอช่วงหลังมาน้องก็ไม่ได้กินกันเป็นกลุ่ม แยกกินกันคนละเวลา อดได้โมเม้นท์ดินเนอร์ร่วมกันเลย 



หม่ำๆ ใครมาใกล้ก็ไม่สนแล้ว จะหม่ำๆ

ได้ช็อตเดี่ยวๆ มาเยอะแล้ว อยากได้ภาพรวมบ้าง แต่กว่าจะได้นี่ก็วันสุดท้ายแล้ว แถมยังไม่ชัด เบลอมาอีก ตื่นเต้นมากตอนเห็นน้องๆ เดินเข้าไปรวมตัวกัน มือนี่สั่นเลย เบลอเลย ฮ่าๆ 



รวมตัวๆ 

ใกล้จะหมดแล้ว ขอปิดท้ายด้วยรูปเดี่ยวๆ ของน้องๆ กันบ้าง เป็นวันสุดท้ายที่ไปถ่ายแล้ว คิดถึงเด็กๆ นะ อยากจับนะรู้ยัง ?  ;______;)





 แค่เธอมองมา โลกทั้งใบก็สดใสแล้วนะ ^^
 รักท่านี้ของน้องมากกกกกกกกกกกกก <3 
อยากวิ่งเข้าไปอุ้มกลับบ้านทันทีทันใด 


สุดท้าย ท้ายสุดแล้ว ขอลาไปกับช็อตนี้ ... เบลอๆ แต่ชอบแมวซน


เป็นการไปส่องแมวพร้อมลองกล้อง เป็นคนที่เกียจอ่านคู่มือการใช้ ชอบที่จะมั่วเองมากกว่า ขอบคุณน้องแมวที่ให้ไปลองนะจ๊ะ แล้วก็ขอบคุณเจ้าของบ้านที่ไม่ออกมาไล่กัน ... แต่เราตกหลุมรักแมวซอยนี้แล้วจริงๆ ทุกวันนี้ต้องเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านเพื่อไปหาน้องแมว แม้จะอ้อมบ้างแต่ก็สู้! 



หวังว่าจะได้มีมิชชั่นถ่ายรูปให้ตัวเองอีก :)